ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายขณะวิ่งมาราธอน?

การวิ่งมาราธอนเป็นวิธีเผาผลาญไขมันที่ดีอย่างหนึ่ง แถมได้พัฒนาระบบภูมิต้านทานและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของจิตใจ แต่ด้วยระยะทางถึง 42.195K ร่างกายจะสะสมความเครียดจากการวิ่งไปมากเช่นกัน อย่างเช่น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิร่างกาย การทำงานหนักของไต และอาการปวดเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อช่วงล่าง หากคุณคิดจะลงวิ่งมาราธอน มี 7 สิ่งที่ควรคำนึงถึง

1. อุณหภูมิร่างกายจะพุ่งสูงขึ้น 

เมื่อเริ่มวิ่งไป อุณหภูมิร่างกายก็จะเริ่มเพิ่มสูงขึ้น ด้วยระยะทางที่ต้องวิ่งจนจบ อุณหภูมิอาจจะสูงถึง 38-39 °C (คล้ายๆ กับตอนเป็นไข้หวัดตัวร้อน) ดังนั้นการวางแผนดื่มน้ำเพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกายขณะวิ่งและหลังจบจึงเป็นเรื่องสำคัญ

2. นิ้วเล็บช่ำและเล็บอาจหลุด 

เนื่องจากการวิ่งระยะไกล ฝ่าเท้าจะถูกถูไถไปมา บริเวณนิ้วเท้าจะชนผนังรองเท้าไปมา พอนานเข้า อาจจะเกิดเท้าพองหรือนิ้วเล็บม่วงช่ำและหลุดเลือดออกได้ ดังนั้นควรเลือกรองเท้าที่มีความฟิตพอดี ระวังการวิ่งขึ้นลงเนิน เพราะโอกาสนิ้วกระแทกผนังรองเท้าด้านหน้าจะมีสูง

3. ไตทำงานหนัก 

ผลการสำรวจของ YALE RESEARCHERS พบว่านักวิ่งมาราธอนมีการบาดเจ็บที่ไต ระยะเฉียบพลันระยะที่ 1 พบถึงร้อยละ 80 หลังจบการวิ่งมาราธอน แต่ทั้งนี้การฝึกวิ่งทั่วไปไม่ได้ก่อนให้เกิดอันตรายต่อไต แต่การวิ่งระยะทางไกลและการวางแผนดื่มน้ำที่แย่ จะทำให้ไตทำงานหนักมากขึ้น 

4. ร่างกายกำลังเผาผลาญไขมันจำนวนมหาศาล 

โดยร่างกายสามารถเผาผลาญได้ถึงชั่วโมงละ 600-800 KCAL เลยทีเดียว แต่ร่างกายสามารถสะสมพลังงานได้ที่ 500 กรัมของไกลโคเจน แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ประมาณ 2,000 KCAL และทุก 1K ร่างกายจะเผาพลังงานไปประมาณ 100-125 KCAL ดังนั้นนักวิ่งจึงควรวางแผนการ REFUEL ให้ดี ถ้าไม่ดีก็อาจจะสัมผัสประสบการณ์วิ่งชนกำแพงก็ได้

5. อาการนอนไม่หลับกลางคืน 

หลังจบมาราธอน นักวิ่งหลายๆ คนอาจจะมีประสบการณ์นอนหลับยาก ตัวร้อนๆ อันเนื่องมาจากอาการ AFTER BURN และอาการที่ร่างกายได้หลั่งฮอร์โมนออกมามากมายระหว่างการวิ่ง (STRESS HORMONE CORTISOL)

6. ขาและช่วงล่างของร่างกาย (LOWER BODY) จะมีอาการปวดเมื่อย 

กล้ามเนื้อมีอาการตึงหรือเป็นตะคริว สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งระหว่างวิ่งและจบการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดเมื่อยที่เรียกว่า DELAYED ONSET MUSCLE SORENESS หรือ DOMS ที่จะเกิดขึ้นหลังจบการวิ่งไปสัก 1 วันและจะหนักขึ้นสูงสุดใน 2-3 วัน

7. ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมากมาย

ถ้าซ้อมถึง คุณก็จะจบอย่างสวยงาม ร่างกายไม่บาดเจ็บ ร่างกายมีการพัฒนาภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดีขึ้น สุขภาพดีขึ้น และเพราะวินัยที่คุณใส่ลงไประหว่างการฝึกซ้อม จะช่วยให้ร่างกายมีระบบต่างๆ ทำงานได้ดีขึ้น ระบบเผาผลาญพลังงานที่ดีขึ้น ร่างกายเฟิร์ม ช่วยลดความเครียด ช่วยปรับและ MIND SET ให้เข้มแข็งขึ้น

การใช้ใจวิ่งไม่ใช่คาถาแก้ปัญหาเวลาลงวิ่งแข่งขันมาราธอน แต่การวางแผนฝึกซ้อมที่ดีจะช่วยให้เราจบได้อย่างสวยงามต่างหาก ทั้งเรื่องการวิ่งเพื่อฝึก CARDIO & ENDURANCE การฝึก STRENGTH TRAINING เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อ และโภชนาการ การหัดดื่มน้ำและรับประทานหาร เพื่อการ REFUEL ขณะวิ่งแข็งขัน ส่วนการใช้ใจวิ่ง การตั้งใจอย่างแน่วแน่นั้น ขอให้มาเป็นเรื่องสุดท้าย ร่างกายไม่พร้อม ฝืนวิ่งไปจะเกิดอาการบาดเจ็บ นอนพักฟื้นนานเป็นเดือนแทนแบบนี้ไม่ดีแน่ จริงมั๊ยคะ

ข้อมูลจาก BLOG.MAPMYRUN.COM

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีการ Drill แบบชาวเคนยา

การออกกำลังกายแบบ DRILL เป็นการออกกำลังกายที่สำคัญอย่างมากสำหรับนักวิ่ง เพราะการฝึก DRILL เป็นประจำจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อที่มีความสำคัญต่อการวิ่ง ทำให้การขับเคลื่อนร่างกายเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ และยังสามารถช่วยลดอาการบาดเจ็บที่เกิดขณะวิ่งได้อีกด้วย หากนักวิ่งต้องการเพิ่มสมรรถนะในการวิ่งให้ดียิ่งขึ้น การฝึกออกกำลังกายด้วยวิธี DRILL จึงสามารถตอบโจทย์ได้ดีที่สุด เรามาดูกันดีกว่าว่าการฝึกออกกำลังกายแบบ DRILL แบบชาวเคนยา เพื่อเพิ่ มสมรรถนะความแข็งแรงของร่างกายให้พร้อมกับการวิ่งมากขึ้นนั้น มีท่าฝึกอย่างไรบ้าง     VDO Credit: Kenya Form Running

กล้ามเนื้องอสะโพก (Hip flexors) สำคัญไฉน?

กล้ามเนื้อที่ช่วยในการงอสะโพกมาด้านหน้า มีชื่อทางการแพทย์ว่า Hip Flexors เป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณด้านหน้าของข้อสะโพก ได้แก่ Iliacus, Psoas, Rectus Femoris, Tensor Fascia Latae (TFL) และ Sartorius  เมื่อคุณนั่งเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อกลุ่มนี้จะหดสั้นเข้ามา ทำให้หลายๆ คนพยายามยืดกล้ามเนื้องอสะโพกเป็นหลัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว กล้ามเนื้องอสะโพกกลับมีความสำคัญต่อการออกกำลังกายต่างๆ ด้วย ยกตัวอย่างเช่น การวิ่ง  กล้ามเนื้อกลุ่มนี้จะช่วยในเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1. ช่วยในการยกขาขึ้นจากพื้น 2. ช่วยให้ขาเคลื่อนไปข้างหน้า 3. ช่วยในการเพิ่มความเร็วในขณะวิ่ง ถ้าท่านใดกำลังมีอาการปวดบริเวณสะโพกหรือขาหนีบ แนะนำให้ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในการงอสะโพกทั้งหมด 4 ท่า ดังนี้ 1. Seated Marching 2. Bench Dip March Against Band 3. Heels Elevated Bridge March Against Band 4. Seated Leg Lifts ที่มา: The Strength Therapist

ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสำหรับนักวิ่ง

มีงานวิจัยในปัจจุบันได้ทำการศึกษาในนักวิ่งระยะปานกลางและระยะไกล โดยมีรายละเอียดดังนี้ มีประสบการณ์ในการวิ่งตั้งแต่ 6 เดือน ขึ้นไป ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้วยวิธีต่างๆ ได้แก่ Heavy resistance training / Explosive training / Plyometric training ฝึกเป็นเวลานานมากกว่า 4 สัปดาห์ ผลปรากฏว่านักวิ่งมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ดีขึ้น ดังนี้ ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานในการวิ่ง เวลาที่ใช้ในการวิ่ง การใช้พลังงานโดยไม่ใช้ออกซิเจนในช่วงเริ่มวิ่ง รู้แบบนี้แล้ว นักวิ่งทั้งหลายต้องใส่โปรแกรมการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อไว้ในตารางฝึกซ้อม โดยในวันนี้เรามีท่าบริหารมาแนะนำทั้งหมด 9 ท่า ดังนี้ Skater squat Side plank clam with band Single leg hamstring slider curl Single leg wall slide Single leg squat Lateral step down Sidelying hip abduction Single leg calf raise Single leg calf raise with knee bend อ่านเพิ่มเติม ได้ที่ Blagrove RC, Howatson G, Hayes PR. Effects of Strength Training on the Physiological Determinants of Middle- and Long-Distance Running Performance: A Systematic Review. Sports Med. 2018;48(5)